top of page
  • Kungwan Auksorn

เที่ยวเวียงจันทน์-หลวงพระบาง ประเทศลาว เดินทางโดยรถไฟความเร็วสูงลาว-จีน

อัปเดตเมื่อ 15 เม.ย. 2566


วันที่ 1 หนองคาย - เวียงจันทน์

หลังจากได้อ่านรีวิวการท่องเที่ยวเดินทางต่างๆมากมายและได้ยินคำแนะนำจากเพื่อน ๆ เราจึงได้ตัดสินใจที่จะลองเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟความเร็วสูงสายใหม่ในประเทศลาว สำหรับการเดินทาง 4 วันไปยังเมืองนครหลวงเวียงจันทน์และหลวงพระบาง ทริปนี้เราเลือกเดินทางในช่วงวันหยุดยาวเนื่องจากทำให้เรามีเวลาว่างจากการเดินทางมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เราไม่แนะนำให้เดินทางในช่วงนี้เท่าไหร่นักเพราะจำนวนคนไทยที่มาเที่ยวหลวงพระบางเยอะขึ้นเป็นหลายเท่า ทำให้การจองตั๋วรถไฟทำได้ยาก แต่ทุกการเดินทางย่อมมีหลากหลายรสชาติ แต่เมื่อเราได้มาเห็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามของจริงแล้ว ได้เห็นวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนท้องถิ่นที่นี่ อาหารอันแสนอร่อย ก็คุ้มค่าแล้วจริงๆ ถ้าทุกคนพร้อมที่จะเปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวครั้งใหม่กับเราแล้วก็ไปกันเลย

สะพานมิตรภาพไทย-ลาว

เราเริ่มต้นทริปเที่ยวลาวกันที่จังหวัดหนองคาย เราจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองและเดินทางสู่นครหลวงเวียงจันทน์ ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ซึ่งเชื่อมระหว่างจังหวัดหนองคายและเวียงจันทน์ สะพานยาว 1.17 กม. เป็นสะพานแรกที่สร้างขึ้นข้ามแม่น้ำโขงเพื่อเชื่อมต่อไทยกับลาวในปี 2537 เป็นพรมแดนหลักที่ข้ามเข้าสู่ประเทศลาวจากประเทศไทยและมักใช้โดยนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่เดินทางมายังประเทศลาวรวมทั้ง คนที่ต้องเดินทางมาทำงานอีกด้วย สะพานมิตรภาพไทย-ลาว ตั้งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองหนองคายเพียง 3.7 กม. เดินทางได้สะดวกสบายเพราะมีรถให้บริการตลอด ทั้งแท๊กซี่ รถสามล้อเครื่อง

เมื่อเรามาถึงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เราต้องประทับตราออกจากประเทศไทย สำหรับคนไทยง่ายมาก เพราะไม่จำเป็นต้องกรอกเอกสารใดๆ แต่สำหรับชาวต่างชาติที่เดินทางออกจากประเทศไทยที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว จะต้องกรอกบัตรขาออกและประทับตราออกจากประเทศไทย

เมื่อเราผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว สามารถเดินตามป้ายไปยังป้ายรถเมล์ซึ่งสามารถซื้อตั๋วรถโดยสารข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ค่าตั๋ว 30 บาทต่อคน และมีรถประจำทุก 10-20 นาที รถเมล์ค่อนข้างเก่า ไม่มีแอร์ และคนมักจะแออัด แต่ไม่นานสำหรับการเดินทางข้ามสะพานใช้เวลาเพียง 5 นาที

ก็ถึงประเทศลาวแล้ว

เมื่อเดินทางข้ามเข้ามาถึงฝั่งประเทศลาวแล้ว เราต้องเตรียมตัวผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเพื่อเข้าประเทศลาว พลเมืองไทยจะต้องแสดงหนังสือเดินทาง (ซึ่งมีอายุ 6 เดือน) บัตรขาเข้าประเทศลาวที่กรอกข้อมูลครบถ้วน (สามารถรับได้ที่ด้านหน้าจุดกรอกข้อมูล) และหนังสือเดินทางวัคซีน(Vaccine Passport)หรือเอกสารการฉีดวัคซีนจากแอปหมอพร้อม(ให้พิมพ์เตรียมมาด้วย)

เมื่อเราได้ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว เราก็ต้องหารถเพื่อเดินทางเข้าไปยังตัวเมืองเวียงจันทน์ ก็จะมีรถโดยสารประจำทางจะวิ่งจากด่านตรวจคนเข้าเมืองไปยังสถานีขนส่งในเมืองเวียงจันทน์เป็นประจำ ราคาประมาณ 40 บาท หรือสามารถเหมารถตุ๊กตุ๊กหรือแท็กซี่ได้ประมาณ 250-400 บาท ซึ่งตัวเมืองเวียงจันทน์จะอยู่ห่างจากด่านตรวจคนเข้าเมืองประมาณ 23 กม. และการเดินทางจะใช้เวลา

ประมาณ 40 นาทีโดยรถยนต์

เราได้เหมาเป็นรถยนต์ส่วนตัวรับจากด่านตรวจคนเข้าเมืองมาส่งยังที่พักของเราที่ One Vientiane Hotel ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งจะใกล้โซนตลาดกลางคืนบนถนนคนเดิน และร้านอาหาร ร้านค้า และบาร์อีกมากมาย One Vientiane Hotel สะอาดและสะดวกสบายพร้อมบริการที่ดี อีกข้อดีสำคัญคือตั้งใจกลางเมือง เดินทางง่าย เราจองห้อง Deluxe Queen ผ่าน Agoda ในราคา 1,212 บาทต่อคืน


วันที่ 2 เวียงจันทน์ - หลวงพระบาง

ในวันที่สองของเราในประเทศลาว เราวางแผนที่จะเดินทางจากเมืองหลวงของเวียงจันทน์ไปยังหลวงพระบาง เมืองที่ล้อมรอบด้วยภูเขาและธรรมชาติในภาคเหนือตอนกลางของลาว

สถานีรถไฟเวียงจันทน์

หลังจากตื่นแต่เช้า เราก็ Check out ออกจากห้องพักของเราที่ One Vientiane Hotel เวลาประมาณ 06.30 น. แล้วเดินทางไปยังสถานีรถไฟ Vientiane Train Station ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองเวียงจันทน์ประมาณ 16 กม. (ใช้เวลาขับรถประมาณ 25 นาที) รถไฟของเราออกเดินทางเวลา 08.00 น. แต่เราแนะนำให้เรามาถึงก่อนเวลารถไฟออกอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เนื่องจากสถานีรถไฟอาจมีคนเยอะและคิวตรวจกระเป๋ายาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวันหยุดยาวและวันหยุดนักขัตฤกษ์ ระหว่างรอรถไฟ เราก็เอาหมูปิ้งและข้าวจี่มาทานเป็นอาหารเช้าจากแผงขายอาหารหน้าสถานีรถไฟ แล้วก็เดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อยๆ

รถไฟเวียงจันทน์ไปหลวงพระบาง

สำหรับการเดินทางโดยรถไฟเวียงจันทน์ไปหลวงพระบาง เราได้แค่ตั๋วชั้น 3 เนื่องจากเป็นวันหยุดยาว และตั๋วรถไฟความเร็วสูงชั้น 1 และชั้น 2 ขายหมดอย่างรวดเร็ว แต่รถไฟชั้น 3 นั้นก็สะอาด สะดวกสบาย และมีแอร์ทั้งขบวน แต่ที่นั่งอาจจะเล็กไปหน่อย หนึ่งแถวนั่งได้สามคนอาจจะทำให้นั่งไม่สบายเท่าไหร่ รถไฟของเราออกเวลา 08:00 น. ถึงสถานีหลวงพระบางเวลา 10:45 น. ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 45 นาที ซึ่งช้ากว่ารถไฟความเร็วสูงประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง

สถานีรถไฟหลวงพระบางไปยังเมืองหลวงพระบาง

หลังจากที่เราเดินทางมาถึงสถานีหลวงพระบาง เราก็เลือกเหมารถตู้ส่วนตัวให้ไปส่งยังที่พักของเราที่ My Dream Boutique Resort ในราคา 200,000 LAK (470 บาทสำหรับ 4 คน) แต่ก็มีรถตู้แบบทั่วไป ราคา 25,000 กีบต่อคน (ประมาณ 60 บาท) รถตู้จะออกเมื่อคนเต็ม (ผู้โดยสาร 8 คน) ระยะทางจากสถานีรถไฟหลวงพระบางไปยังที่พักของเราที่ My Dream Boutique Resort ประมาณ 12 กม. และการเดินทางใช้เวลาประมาณ 20 นาที รถตู้นั้นสะอาด สบาย และปลอดภัย และเมื่อเราเลือกที่จะจ่ายเพิ่มอีกนิดสำหรับรถตู้ส่วนตัว เราไม่ต้องรอนานและไปส่งที่ที่พักของเราได้เลย

เมื่อเรามาถึง My Dream Boutique Resort ประมาณเที่ยง เราต้องรอจนถึง 14.00 น. เพื่อเช็คอิน เราจึงทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารของโรงแรมระหว่างรอ อาหารในร้านอาหารก็อร่อยและไม่แพงเกินไปทำให้เป็นตัวเลือกที่สะดวกสบายสำหรับนักเดินทางที่มาพักที่ My Dream Boutique Resort เวลา 14.00 น. เราสามารถเช็คอินที่ห้องของเราได้ เราจองห้อง Deluxe Double Balcony ที่ Agoda ในราคา 1,250 บาทต่อคืนรวมบุฟเฟ่ต์อาหารเช้า ห้องพักกว้างขวางและสะอาดมาก บรรยากาศโดยรวมของ My Dream Boutique Resort นั้นผ่อนคลายและเงียบสงบเพราะรายล้อมไปด้วยธรรมชาติในขณะที่ยังคงอยู่ใกล้ใจกลางเมือง

วัดเชียงทอง (Xienthong Temple)

หลังจากที่เราเก็บกระเป๋าของเราเข้าห้องแล้วและพักเติมความสดชื่น แล้วเราก็ออกไปสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวของหลวงพระบาง เราจองรถตุ๊กตุ๊กจาก My Dream Boutique Resort ไปวัดเชียงทอง ราคา 80,000 กีบ (ประมาณ 186 บาท) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที ระยะทางประมาณ 3 กม. รถตุ๊กตุ๊กมีให้บริการทั่วหลวงพระบางและมักจะคิดค่าบริการต่อคน โดยการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางส่วนใหญ่ภายในเมืองมีราคาระหว่าง 10,000 - 20,000 LAK (ประมาณ 23 - 47 บาท) ต่อคน เมื่อเรามาถึงวัดเชียงทองเราต้องซื้อตั๋วเข้าบริเวณวัด ตั๋วราคา 20,000 กีบ (ประมาณ 47 บาท) เราใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการเดินชมเที่ยวรอบๆวัดเซียนทองและถ่ายรูปวัดที่สวยงามและบริเวณรอบๆ

พระธาตุพูสี(Phou Si Hill)

ต่อไปเราตัดสินใจไปชมวิวพระอาทิตย์ตกที่พระธาตุพูสี ซึ่งอยู่ห่างจากวัดเชียงทองประมาณ 2 กม. ทางเดินขึ้นพระธาตุพูสี ตั้งอยู่ข้างถนนคนเดินหลวงพระบาง เหมาะเป็นอย่างยิ่งที่จะมาเยี่ยมชมในช่วงห้าโมงคุณจะได้ชมพระอาทิตย์ตกจากยอดเขาภูสีก่อนลงเขา เพื่อเพลิดเพลินกับการช้อปปิ้งอาหารริมทางที่ถนนคนเดินและตลาดมืด

ทางเดินขึ้นสู่ยอดพระธาตุพูสีอยู่ในสภาพดี และใช้เวลาเดิน 10-20 นาทีขึ้นไปด้านบน ขึ้นอยู่ความฟิตร่างกายของแต่ละคน มีบันไดหลายขั้นและอาจค่อนข้างสูงชันและแคบในบางช่วง ดังนั้นเราขอแนะนำให้สวมรองเท้าที่เดินสบาย และควรพกขวดน้ำติดตัวไปด้วยเนื่องจากการเดินป่าอาจทำให้เหนื่อย ขณะที่คุณกำลังเดินขึ้นไปบนเส้นทาง จะผ่านบูธเล็กๆ ซึ่งคุณสามารถซื้อตั๋วได้ในราคา 20,000 LAK ต่อคน (ประมาณ 47 บาท) เด็กอายุต่ำกว่า 7 ปีสามารถเข้าได้ฟรี บนยอดเขาจะมีพระธาตุพูสีให้เราไหว้สักการะ และจุดชมวิวมากมายให้ถ่ายรูปทั่วหลวงพระบาง เป็นวิวที่ทำให้เราเห็นหลวงพระบางแบบ 360 องศา คุ้มกับค่าเหนื่อยในการเดินขึ้นเป็นอย่างมาก

ตลาดมืด หลวงพระบาง(Luang Prabang Night Market)

หลังจากใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงบนยอดเขาพระธาตุพูสี เราก็เดินกลับลงไปที่ถนนคนเดินหลวงพระบางที่เราได้ชมผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น งานฝีมือและเลือกซื้อของที่ระลึก หลังจากสำรวจถนนคนเดินแล้ว เราก็หยุดที่บริเวณร้านอาหารที่ตลาดมืดซึ่งอยู่ท้ายตลาดเพื่อรับประทานอาหารเย็นและเครื่องดื่ม ตลาดที่นี่รายล้อมไปด้วยแผงขายอาหาร ของว่าง ของหวาน และเครื่องดื่มมากมาย เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการมาลิ้มลองรสชาติอาหารท้องถิ่นแสนอร่อยหลังจากวันที่อากาศร้อนอบอ้าวในการสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวของหลวงพระบาง หลังจากอิ่มท้องด้วยอาหารอร่อยและเบียร์ราคาถูก เราก็นั่งรถตุ๊กตุ๊กกลับไปที่ My Dream Boutique Resort ในคืนนี้


วันที่ 3 - รอบหลวงพระบาง

เราตื่นแต่เช้าในวันแรกของเราที่หลวงพระบางเต็มเพราะเราต้องการใช้เวลาสั้นๆ ในเมืองให้คุ้มค่าที่สุดโดยการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญบางแห่ง

สะพานเหล็ก (Iron Bridge)

ก่อนรับประทานอาหารเช้า เราปั่นจักรยานของโรงแรมที่มีให้บริการฟรี ไปที่สะพานเหล็กใกล้ ๆ เพื่อถ่ายรูปแม่น้ำคานในตอนเช้า บรรยากาศผ่อนคลายมาก และเป็นการดีที่จะได้สัมผัสกับชาวบ้านที่ทำกิจกรรมในตอนเช้า หลังจากนี้เราก็กลับห้องเพื่อเก็บกระเป๋าและกินข้าวเช้า หลังจากรับประทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์แสนอร่อยที่ My Dream Boutique Resort แล้ว เราก็เช็คเอาท์ออกจากห้องแล้วออกเดินทางในรถส่วนตัวเพื่อสำรวจหลวงพระบาง เรามีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับการจองรถออนไลน์ที่เราทำไว้ล่วงหน้า แต่หลังจากได้รับความช่วยเหลือของคนในเมืองหลวงพระบางช่วยเราหารถ เราก็สามารถจองรถสำหรับวันนี้ได้ในราคา 90,000 LAK (ประมาณ 2,115 บาท) เพื่อนำเที่ยวเรารอบๆหลวงพระบางตลอดทั้งวัน

เราขอแนะนำว่าหากคุณเดินทางเป็นหมู่คณะหรือมากันเป็นครอบครัว คุณสามารถขอให้โรงแรมจัดรถ/รถตู้ส่วนตัวให้ได้ และให้แจ้งทางโรงแรมล่วงหน้าได้ จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 80,000 - 1,000,000 กีบ (ประมาณ 1,900 - 2,500 บาท) สำหรับ ค่าเช่า 6-8 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้โดยสารและขนาดของรถ

พระราชวังหลวงพระบาง (Royal Palace)

จุดหมายแรกของเราในวันนี้คือพระราชวังหลวงพระบาง ตั๋วราคา 30,000 กีบ (ประมาณ 70 บาท) และอนุญาตให้เข้าไปในอาคารวัดและพระราชวังซึ่งปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ โปรดทราบว่าการแต่งกายเพื่อเข้าสู่พิพิธภัณฑ์พระราชวังนั้นเข้มงวดมาก ไม่อนุญาตให้สวมกางเกงขาสั้น และกางเกงยีนส์ที่มีขาด

รวมถึงกระเป๋าถือ เป้สะพายก็ไม่สามารถนำเข้าไปได้

พระธาตุหมากโม & วัดวิชุราช

(MakMo Stupa & Visoun Temple)

หลังจากเดินไปรอบ ๆ พระราชวังหลวงพระบาง คนขับรถของเราพาเราไปเที่ยวต่อที่ That Mak mo และวัดวิชุนราชซึ่งอยู่ติดกัน จะอยู่ห่างจากพระบรมมหาราชวังเพียง 1.3 กม. ตั๋วราคา 20,000 กีบ

(ประมาณ 47 บาท) และเข้าได้ทั้งธาตุหมากโมและวัดวิชุนราชซึ่งตั้งอยู่บริเวณวัดเดียวกัน

คอมม่า คาเฟ่ (Comma Cafe)

หลังจากช่วงเช้ากับการไปเยี่ยมชมวัดวาอารามภายใต้แสงแดดที่ร้อนระอุ เราตัดสินใจหยุดพักและเพลิดเพลินกับกาแฟเย็น ๆ ที่ Comma Cafe ซึ่งอยู่ใกล้เคียง ซึ่งอยู่ห่างจากธาตุหมากหม้อเพียง 200 ม. คาเฟ่แห่งนี้ให้บริการทั้งร้อนและเย็น เครื่องดื่ม รวมทั้งของว่าง เค้ก และของหวาน Comma Cafe เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนและคลายร้อน และมีสถานที่ให้ถ่ายรูปมากมาย

น้ำตกกวงสี (Kuang Si Waterfall)

หลังจากคลายร้อนที่ Comma Cafe คนขับรถของเราก็พาเราไปที่น้ำตกกวงสี ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในหลวงพระบาง น้ำตกกวงสีตั้งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองหลวงพระบางประมาณ 30 กม. และการขับรถใช้เวลาประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง เนื่องจากต้องเดินทางผ่านถนนบนภูเขาที่คดเคี้ยว เมื่อเราไปถึงสำนักงานขายตั๋วน้ำตกกวางสี เราซื้อตั๋วใบละ 25,000 กีบ (ประมาณ 59 บาท) แล้วรอรถกอล์ฟพาเราไปที่ทางเข้าอุทยานฯ

รถกอล์ฟไปยังทางเข้าอุทยานใช้เวลาประมาณ 5 นาที และเมื่อมาถึงจะมีแผงขายของและร้านค้าเล็กๆ ที่ขายของที่ระลึก อาหารและเครื่องดื่มมากมาย ก่อนที่เราจะขึ้นไปที่น้ำตก เราก็แวะที่ร้านอาหารเล็กๆ ใกล้ทางเข้าอุทยานเพื่อทานอาหารกลางวัน อาหารรสชาติก็โอเค แต่ราคาจะแพงไป อาจจะเป็นเพราะอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยว เราขอแนะนำให้นำอาหารและเครื่องดื่มมาเอง หรืออาจจะกินอาหารมาจากด้านล่างก่อนขึ้นมาที่น้ำตกก็ได้

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ เราก็เริ่มเดินป่าระยะสั้น ๆ ผ่านป่าไปยังแม่น้ำและขึ้นไปยังน้ำตกทางเดินสะอาดสะอ้าน และทางเดินไม่ชันจนเกินไปทำให้เพลิดเพลินได้ จากทางเข้าอุทยานถึงน้ำตก เราใช้เวลาประมาณ 15 นาทีในการเดิน และจากฐานน้ำตกเราสามารถเดินต่อไปได้อีก 15 นาทีถึงยอดน้ำตก แต่เส้นทางค่อนข้างชันและลื่น น้ำตกกวงสีหรือที่คนลาวเรียกว่า ตาดกวงสี เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการใช้เวลาสองสามชั่วโมงเพื่อเพลิดเพลินกับธรรมชาติและถ่ายรูป เราจะเห็นคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวจำนวนมากเล่นน้ำและปิกนิกริมฝั่งแม่น้ำได้ที่นี่

ไอศกรีมนมควาย

หลังจากใช้เวลาสำรวจน้ำตกกวงสีประมาณ 2-3 ชั่วโมง ก็ถึงเวลาเดินทางกลับเมืองหลวงพระบาง ระหว่างขับรถกลับ คนขับรถของเราเสนอให้แวะที่ร้านริมถนนขายไอศกรีมนมควาย เราสั่งงา 3 รส ตะไคร้ และขิง และรู้สึกประทับใจมากกับรสชาติของครีม ไอศกรีมราคา 30,000 กีบ (ประมาณ 70 บาท) ต่อถ้วยและเป็นวิธีที่ดีในการคลายร้อนหลังจากวันที่ยาวนานภายใต้แสงแดดอันร้อนระอุ แปลกแต่อร่อย

น้ำคานอีโคลอดจ์ (Nam Khan Ecolodge)

หลังจากกลับถึงหลวงพระบาง คนขับรถพาเราไปที่พักใหม่ที่ Nam Khan Ecolodge ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำท่าประมาณ 7 กม. จากใจกลางเมือง เนื่องจากน้ำคานอีโคลอดจ์เป็นส่วนตัวมากและรายล้อมไปด้วยธรรมชาติจึงเดินทางไปมาค่อนข้างลำบาก สภาพถนนไม่ค่อยดีนักและใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาทีจากใจกลางเมือง ดังนั้นหากต้องการพัก ที่นี่จำเป็นต้องมีการวางแผนล่วงหน้าสำหรับการเดินทางเข้าไปในเมือง เพราะใช้เวลาเดินทางเนื่องด้วยถนนไม่ค่อยดี

Nam Khan Ecolodge บรรยากาศดีและเป็นธรรมชาติอย่างยิ่งทำให้เป็นจุดหมายปลายทางที่สมบูรณ์แบบสำหรับการพักผ่อนและผ่อนคลาย บริเวณรีสอร์ทมีกิจกรรมมากมายให้ผู้ที่มาพักได้ทำ รวมถึงการพายเรือคายัค ขี่ม้า โยคะ ล่องห่วงยาง และแม้แต่ชั้นเรียนทำอาหาร เราจองห้อง Double Garden ไว้คืนละ 1,179 บาท ห้องสะอาด สบาย เงียบสงบ แต่ไม่มีแอร์ตามที่แจ้งรายละเอียดห้องพัก เมื่อเราสอบถามเกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศกับพนักงานต้อนรับ และพนักงานแจ้งให้เราทราบว่านี่เป็นข้อผิดพลาดกับโปรไฟล์ออนไลน์ของพวกเขา และมีเพียงห้องลักซ์สวีทเท่านั้นที่มีเครื่องปรับอากาศ ดังนั้นนี่จึงเป็นสิ่งที่ต้องระวังหากคุณจองที่นี่

เรามีความสุขกับการเข้าพักที่ Nam Khan Ecolodge และเราหวังว่าเราจะสามารถอยู่ได้นานขึ้น บรรยากาศที่เงียบสงบของรีสอร์ทผ่อนคลายมาก และรู้สึกสดชื่นเมื่อได้อาบน้ำในแม่น้ำที่เย็นสบายในตอนเช้า เราขอแนะนำที่นี่ รีสอร์ทสำหรับใครก็ตามที่มาเยือนหลวงพระบางและต้องการพักผ่อนในธรรมชาติสักหนึ่งหรือสองวัน

เดินริมแม่น้ำ

หลังจากเช็คอินห้องพักของเราที่ Nam Khan Ecolodge แล้ว คนขับรถของเราก็พาเรากลับไปมาส่งที่ใจกลางเมืองหลวงพระบาง เนื่องจากเราต้องการเดินเล่นในย่านเมืองเก่าใกล้ๆ กัน และรับประทานอาหารเย็นที่ริมแม่น้ำ รวมทั้งเลือกซื้อของที่ระลึกเพิ่มเติมจากตลาดถนนคนเดิน

ร้านอาหาร The Belle Rive Terrace

หลังจากเดินไปตามริมฝั่งแม่น้ำ เราก็เริมหิวกันแล้ว จึงตัดสินใจทานอาหารค่ำที่ร้านอาหาร The Belle Rive Terrace ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง เดอะเบลล์ริฟเทอเรซมีบริการที่ดีและเมนูราคาสมเหตุสมผล เราสั่งลาบปลา สาหร่ายทอด สลัดหลวงพระบาง ส้มตำหลวงพระบาง รวมทั้งเบียร์ท้องถิ่น และทุกจานก็อร่อย เราขอแนะนำร้านอาหาร The Belle Rive สำหรับผู้ที่ทานอาหารเย็นหรือดื่มเครื่องดื่มริมฝั่งแม่น้ำโขง หลังอาหารเย็นเราเดินกลับไปที่ตลาดถนนคนเดินเพื่อซื้อของฝากในคืนสุดท้ายที่หลวงพระบางหลังจากช้อปปิ้งในตลาดเสร็จ เราก็นั่งรถตุ๊กตุ๊กกลับที่พักของเราที่ Nam Khan Ecolodge


วันที่ 4 หลวงพระบาง - เวียงจันทน์

นี่เป็นวันสุดท้ายของเราในหลวงพระบางและถึงแม้เราจะเหลือเวลาอีกเพียงครึ่งวัน แต่เราตัดสินใจที่จะทำใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าที่สุด ก่อนที่เราจะขึ้นรถไฟกลับไปเวียงจันทน์ หลังจากตื่นเช้าเราก็ไปเดินเล่นรอบๆ บริเวณที่สวยงามของ Nam Khan Ecolodge ก่อนที่อากาศจะร้อนเกินไป เรายังได้ว่ายน้ำในตอนเช้าในน้ำเย็นที่ใสสะอาดของแม่น้ำคานซึ่งไหลอยู่ข้างรีสอร์ท

น้ำคาน อีโคลอดจ์ (Nam Khan Ecolodge)

หลังจากตื่นเช้าเราก็ไปเดินเล่นรอบๆ บริเวณที่สวยงามของ Nam Khan Ecolodge ก่อนที่อากาศจะร้อนเกินไป เรายังได้ว่ายน้ำตอนเช้าในน้ำเย็นๆ ของแม่น้ำคาน ซึ่งไหลผ่านข้างรีสอร์ท อาหารเช้าที่ Nam Khan Ecolodge นั้นอร่อยและถึงแม้จะไม่ใช่บุฟเฟ่ต์ แต่ก็มีอาหารให้เลือกมากมาย อาหารนั้นดีต่อสุขภาพและออร์แกนิกมาก โดยส่วนใหญ่ทำจากส่วนผสมที่มาจากฟาร์มเล็กๆ ของ Nam Khan Ecolodge ประมาณ 11.00 น. ได้เวลาออกเดินทาง เราเลยจัดกระเป๋าและเช็คเอาท์ออกจากห้องอย จากนั้นเราก็นั่งรถรับส่งฟรีของรีสอร์ทจะไปส่งที่ ที่ทำการไปรษณีย์ใจกลางหลวงพระบาง

สถานีรถไฟหลวงพระบาง (Luang Prabang Train Station)

หลังจากใช้เวลาสองสามชั่วโมงสำรวจเมืองเก่าของหลวงพระบางและรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารริมแม่น้ำโขง เราก็นั่งรถตู้ไปที่สถานีรถไฟหลวงพระบางในราคา 120,000 LAK (ประมาณ 280 บาท) ระยะทางจากหลวงพระบางถึงสถานีรถไฟประมาณ 12 กม. และนั่งรถตู้ใช้เวลาประมาณ 20 นาที แม้ว่ารถไฟของเราจะไม่ออกจนถึง 18:00 เรามาถึงสถานีรถไฟหลวงพระบาง เวลาประมาณ 15:00 น. เนื่องจากเราต้องการให้แน่ใจว่าเราไปถึงที่นั่นก่อน เผื่อเวลาไว้เพราะเราคาดว่ารถไฟรอบนี้คนต้องเยอะมากแน่ๆ

สถานีรถไฟมีคนไปรอคิวเยอะมาก แต่เรายังไม่สามารถเข้าไปนั่งด้านในสถานีได้ จนกว่าผู้โดยสารบนรถไฟขบวนก่อนหน้าจะออกไปก่อน เนื่องจากสถานีไม่มีที่นั่งเพียงพอสำหรับผู้โดยสารทุกคนที่จะรอข้างใน ขอแนะนำว่าอย่าไปเร็วกว่า 2 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง

รถไฟจากหลวงพระบาง - เวียงจันทน์

หลังจากรอประมาณสองชั่วโมงครึ่งรถไฟของเราก็พร้อมแล้ว สำหรับการเดินทางกลับเวียงจันทน์ของเรา โชคดีที่เราได้ตั๋วรถไฟความเร็วสูงซึ่งใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 45 นาทีในการเดินทางระหว่างหลวงพระบางไปยังเวียงจันทน์ รถไฟออกเวลา 18:00 น. ถึงเวียงจันทน์เวลาประมาณ 19:45 น. รถไฟสะอาด นั่งสบาย และการเดินทางก็เร็ว ราบรื่น ทำให้เป็นประสบการณ์ที่สนุกสนาน

เมื่อเรามาถึงสถานีรถไฟเวียงจันทน์ เรายังคงเหมารถตั้งแต่วันแรกที่รับส่งเรา ให้มารับเราที่สถานีรถไฟด้วยเลยจะได้ไม่ต้องหารถหลายรอบ เพราะจำนวนคนมาเที่ยวในวันหยุดยาวนี้เยอะมาก การที่เราจองรถส่วนตัวไว้จึงเป็นตัวเลือกที่ดีเพราะเราเดินทางเหนื่อยมาทั้งวัน และเรานั่งรถกลับไปใจกลางเมืองเป็นระยะทาง 16 กม. การเดินทางใช้เวลาประมาณ 25 นาที เมื่อเรามาถึงเมืองเวียงจันทน์ คนขับรถของเราส่งเราที่ One Vientiane Hotel และเราก็เช็คอินที่ห้องของเราและเตรียมพร้อมที่จะออกไปทานอาหารเย็นในคืนสุดท้ายของเราที่ลาว


วันที่ 5 เวียงจันทน์ - หนองคาย

นี่เป็นวันสุดท้ายของเราที่ลาว และก่อนจะข้ามพรมแดนกลับประเทศไทย เราได้แวะชมสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญบางแห่งในเวียงจันทน์

ร้านอาหาร PVO

เวลาประมาณ 7.00 น. เราเช็คเอาท์จาก One Vientiane Hotel คนขับรถมารับเราและพาเราไปที่ร้านอาหารเช้าชื่อดังในเวียงจันทน์ชื่อ PVO ร้านอาหารจำหน่ายอาหารลาวและเวียดนามที่หลากหลาย รวมทั้งอาหารบางจานที่ได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศส ร้านอาหารลูกค้าเยอะ แต่อาหารอร่อยและการบริการก็รวดเร็ว หากคุณกำลังมองหาร้านอาหารเช้าในเวียงจันทน์ เราขอแนะนำให้คุณมาที่ PVO

ประตูชัย (Patuxay)

เมื่ออิ่มท้องกับอาหารเช้าแล้ว คนขับรถของเราก็พาเราไปยังสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเวียงจันทน์ ก็คือประตูชัย ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึง 2 กม. ขับรถเพียง 5 นาที ประตูชัยเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้ฟรี และการถ่ายภาพเป็นสถานที่ที่สวยงามในการเก็บภาพสวยๆถือเป็นแลนด์มาร์กสำคัญเมื่อมาเที่ยวเวียงจันทน์ บริเวณนี้มีขนาดเล็กและง่ายต่อการสำรวจและมีแผงขายของที่ระลึกเล็กๆ สองสามร้าน

พระธาตุหลวง (Pha That Luang)

จุดหมายต่อไปของทัวร์เวียงจันทน์ตอนเช้าคือวัดพระธาตุหลวงที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมือง ตั้งอยู่ห่างจากประตูชัยประมาณ 3 กม. ใช้เวลาขับรถ 10 นาที และวัดนี้โดดเด่นจากระยะไกลด้วยเจดีย์ทองคำสูง 35 เมตร บริเวณพระธาตุหลวงมีขนาดใหญ่ สะอาด เหมาะแก่การเดินเล่นถ่ายรูปเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงเช้าตรู่ที่อากาศเย็น เข้าฟรี แต่ถ้าต้องการเข้าไปในบริเวณวัด จะต้องซื้อตั๋ว 10,000 กีบ

(ประมาณ 24 บาท)

ด่านชายแดนเวียงจันทน์-หนองคาย

หลังจากสำรวจประตูชัยและพระธาตุหลวงแล้วก็ถึงเวลาเดินทางกลับจากตัวเมืองเวียงจันทน์ไปยังสะพานมิตรภาพไทยและข้ามพรมแดนกลับประเทศไทย เราใช้เวลาประมาณ 40 นาทีก็ถึงจุดผ่านแดนซึ่งอยู่ห่างจากพระธาตุหลวงประมาณ 23 กม. ก่อนเดินทางไปยังสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เราก็ได้แวะถ่ายรูปบริเวณที่จีนได้มาสัมปทานตั้งเมืองย่านที่อยู่อาศัยที่ประเทศลาว

เมื่อเรามาถึงนอกเขตแดนแล้ว เราต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองและประทับตราออกจากลาว เป็นกระบวนการที่ง่าย และสิ่งที่เราต้องแสดงก็คือหนังสือเดินทางและบัตรขาออกที่กรอกเสร็จแล้ว จากนั้นเราก็ถูกประทับตราออกจากลาว เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว สามารถเดินตามป้ายไปยังป้ายรถเมล์ซึ่งสามารถซื้อตั๋วรถโดยสารข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ค่าตั๋วบาทต่อคนและมีรถโดยสารประจำทาง

(ทุก 10 - 20 นาที) การเดินทางข้ามแม่น้ำโขงมายังประเทศไทยใช้เวลาเพียง 5 นาที

เมื่อคุณมาถึงฝั่งไทยของสะพานแล้ว คนไทยสามารถผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองได้อย่างง่ายดายโดยแสดงหนังสือเดินทาง ผู้ถือหนังสือเดินทางต่างประเทศจะต้องแสดงวีซ่าที่มีอยู่ก่อนในหนังสือเดินทางของตน มิฉะนั้น พวกเขาจะได้รับวีซ่านักท่องเที่ยวเมื่อเดินทางมาถึง ผู้ถือหนังสือเดินทางชาวต่างชาติทุกคนต้องแสดงหนังสือเดินทาง (มีอายุอย่างน้อย 6 เดือน) และบัตรขาเข้าประเทศไทยที่กรอกข้อมูลครบถ้วนเพื่อเข้าประเทศ หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว ก็สามารถหารถเพื่อเข้าไปส่งในเมืองได้


สำหรับการเดินทางในครั้งนี้มีทั้งความยากและความง่าย ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง และครั้งนี้เราต้องขอขอบคุณเพื่อนของเราที่จังหวัดหนองคาย ที่ช่วยหาข้อมูลในด้านต่างๆทั้งข้อมูลด้านการท่องเที่ยวที่เวียงจันทน์ทำให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพราะเนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ทุกอย่างอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอด เราหวังว่าโอกาสหน้า เราจะได้มาเที่ยวที่ประเทศลาวอีกครั้ง เราประทับใจกับสถานที่ท่องเที่ยว อาหาร และคนท้องถิ่นที่นี่ ที่เป็นมิตรและพร้อมที่จะช่วยเราเสมอ



#เวียงจันทน์ #หลวงพระบาง #ลาว #เที่ยวลาว #เที่ยวเวียงจันทน์ #เที่ยวหลวงพระบาง #เที่ยวลาวเอง

ดู 3,268 ครั้ง0 ความคิดเห็น
bottom of page